วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

กำเนิดธรรมยุติกนิกาย

กำเนิดธรรมยุติกนิกาย


          ธรรมยุต หรือธรรมยุติกนิกาย เป็นคณะหนึ่งของพระสงฆ์ในประเทศไทย เป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ ตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพระวชิรญาณเถระ (เจ้าฟ้ามงกุฏ : พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว รัชกาลที่ 4) และเมื่อถึงรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการ ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ขึ้น เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พระราชบัญญัติฉบับนี้มีชื่อว่า พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ รศ.121” มีสาระสำคัญคือได้ยกสถานะคณะธรรมยุติ ให้เป็นนิกายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ประวัติคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย

          นับแต่อดีตพระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแผ่และประดิษฐานอยู่ในประเทศไทยเกินกว่าพันปีแล้ว โดยเข้ามาทั้งสายอาจริยวาท (มหายาน) และเถรวาท (หินยาน) แต่ในปัจจุบันสายอาจริยวาทนั้นมีผู้นับถือเพียงส่วนน้อยเป็นกลุ่มๆ ไปในแต่ละแห่ง เช่น คณะสงฆ์จีนนิกาย คณะสงฆ์อนัมนิกาย (พระญวน) เป็นต้น มีเพียงสายเถรวาทที่ยังคงเจริญรุ่งเรืองแพร่หลายและนับถือสืบทอดกันมาในทุกภูมิภาคและยังได้แพร่หลายไปในต่างประเทศด้วย โดยคณะสงฆ์สายเถรวาทในประเทศไทยนั้นแบ่งย่อยเป็น 2 นิกายด้วยกัน คือ มหานิกาย ซึ่งมีพระสงฆ์อยู่จำนวน 80 กว่า% ของพระสงฆ์ทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 10 กว่า% คือพระสงฆ์ใน ธรรมยุติกนิกาย

ความหมายของคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย

          คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงให้ความหมายไว้ว่า ธรรมยุติกนิกาย คือ พระสงฆ์ออกจากมหานิกายนั้นเอง แต่ได้รับอุปสมบทในรามัญนิกายด้วยสืบสายต่อกันลงมา” คำว่า ธรรมยุต” แปลว่า “ผู้ประกอบด้วยธรรม” หรือ ชอบด้วยธรรม” หรือ ยุติตามธรรม” หมายถึง คณะสงฆ์นี้เกิดขึ้นด้วยมุ่งแสวงหาว่าข้อใดเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติในข้อนั้น โดยเว้นข้อที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย ไม่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะเป็นข้อปฏิบัติที่ประพฤติตามกันมาแต่ผิดธรรมวินัยก็ตาม
  

การกำเนิดธรรมยุติกนิกาย

          คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย กำเนิดขึ้นจากการที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แต่ครั้งยังมิได้ทรงครองราชย์และได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในคณะสงฆ์มหานิกายอันนับถือกันมาแต่ดั้งเดิม เมื่อ พ.ศ.2367 มีพระนามว่า วชิรญาโณ” เสด็จประทับ ณ วัดมหาธาตุ และได้เสด็จไปทรงศึกษาด้านวิปัสสนาธุระที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส ในปัจจุบัน) และวัดราชสิทธาราม จนทรงเข้าใจเจนจบสิ้นความรู้ของพระอาจารย์ที่จะสอนได้ เมื่อทรงสงสัยไต่ถาม พระอาจารย์ก็มิสามารถตอบได้ ทูลแต่ว่าครูอาจารย์เคยสอนมาอย่างนี้เท่านั้น เป็นเหตุให้ทรงท้อถอยในด้านวิปัสสนาธุระ จึงเสด็จกลับมาประทับที่วัดมหาธาตุเพื่อศึกษาด้านคันถธุระ เพื่อให้สามารถอ่านพระไตรปิฎกได้ด้วยพระองค์เอง ทรงศึกษาด้านภาษาบาลีจนแตกฉาน กระทั่งครั้งหนึ่งได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมต่อหน้าพระที่นั่งตามที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงขอให้แปลให้ฟัง จึงทรงแปลพอเฉลิมพระราชศรัทธาเพียง 5 ประโยค ทั้งที่ทรงภูมิความรู้สูงกว่านั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานพัดยศสำหรับเปรียญเอก 9 ประโยคให้ทรงถือเป็นสมณศักดิ์
          เมื่อทรงศึกษาพระไตรปิฎกโดยละเอียด ก็ทรงพบว่าข้อปฏิบัติทางพระธรรมวินัยของภิกษุบางหมู่ในเวลานั้น มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากพระธรรมวินัยมาช้านานแล้ว จึงสลดพระทัยในการจะทรงเพศบรรพชิตต่อไป วันหนึ่งเสด็จเข้าสู่พระอุโบสถวัดมหาธาตุ ทรงอธิษฐานขอให้ได้พบวงศ์บรรพชาอุปสมบท ที่บริสุทธิ์สืบเนื่องมาแต่พระพุทธเจ้าแต่ดั้งเดิมภายใน 7 วัน มิฉะนั้นจะทรงเข้าพระทัยว่าพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์สิ้นแล้ว ก็จะลาสิกขาเสียจากสมณเพศไปเป็นฆราวาสรักษาศีลห้าศีลแปด ครั้นผ่านไปได้สักสองสามวัน ก็ได้ทรงได้ยินข่าวพระเถระชาวรามัญ (มอญ) รูปหนึ่งชื่อ ซาย พุทธวํโส (ซาย ในภาษามอญว่าหมายถึง น้ำผึ้ง) อุปสมบทมาจากเมืองมอญ ได้เป็นพระราชาคณะที่ พระสุเมธมุนี และเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรมงคล หรือมีชื่อที่เรียกกันทั่วๆ ไปว่า วัดลิงขบ (เป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงกันข้ามกับวัดสมอราย) เป็นผู้ชำนาญในพระวินัยปิฎกและประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จึงเสด็จไปทรงศึกษาด้วย พระสุเมธมุนีได้ทูลอธิบายถึงวัตรปฏิบัติของ คณะสงฆ์รามัญนิกายสีมากัลยาณี ที่ท่านได้อุปสมบทมาให้ทรงทราบอย่างละเอียด ชี้ให้เห็นชัดว่าวงศ์บรรพชาอุปสมบทนี้มีเชื้อสายมาจากพระอนุรุทธเถระ (พระอรหันตสาวกในสมัยพุทธกาล ผู้เป็นเลิศทางด้านทิพยจักษุหรือตาทิพย์) เชื่อมโยงมาจนถึงพระอุปัชฌาย์ของพระสุเมธมุนีได้ 88 ชั่วคนแล้ว ทรงพิจารณาเห็นว่าถูกต้องตามพระพุทธพจน์ที่ทรงศึกษาจากพระไตรปิฎก จึงมีพระราชศรัทธาที่จะประพฤติตามแบบพระมอญ และเนื่องจากทรงพิจาณาเห็นว่าอุปสมบทวิธีตามแบบรามัญน่าจะถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติมากที่สุดในเวลานั้น จึงทรงทำทัฬหีกรรม คือ ทรงอุปสมบทซ้ำในคณะสงฆ์รามัญนิกายสีมากัลยาณีอีกครั้งหนึ่ง ณ วัดสมอราย โดยมีพระสุเมธมุนี (ซาย พุทธวํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ พ.ศ.2368 อันเป็นปีที่ทรงผนวชได้ 2 พรรษา และเสด็จกลับไปประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุตามเดิม
          คณะสงฆ์รามัญนิกายสีมากัลยาณี คือ พระภิกษุสงฆ์ผู้อุปสมบทในอุโบสถ ชื่อว่า กัลยาณีสีมา (Kalyani Sima) เมืองหงสาวดี ในรามัญประเทศ (ปัจจุบันคือเมืองพะโค-Bago ประเทศพม่า) ซึ่งเป็นนิกายเดียวกับ คณะสงฆ์ลังกาวงศ์ ในประเทศศรีลังกา กล่าวคือ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 208 ปี หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งกรุงปาฏลีบุตร และพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ชำระพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์จากเดียรถีย์ที่ปลอมบวชเข้ามาและสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 แล้ว ได้ทรงส่งพระเถระทั้งหลายไปประกาศพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ เช่น พระมหินทเถระ ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นหัวหน้านำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในประเทศลังกา พระโสณะและพระอุตตระ เป็นหัวหน้านำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในประเทศสุวรรณภูมิ (บริเวณเมืองมอญ ประเทศพม่า และประเทศไทยในปัจจุบัน) พระพุทธศาสนาใน 2 ดินแดนนี้จึงมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน เมื่อเจริญแล้วก็เสื่อม แล้วกลับเจริญอีก สลับกันไปมาอยู่อย่างนี้มาตลอด โดยเมื่อใดที่พระพุทธศาสนาในดินแดนใดเสื่อม ก็จะไปนำพระพุทธศาสนาจากอีกดินแดนหนึ่งกลับมาฟื้นฟูอีกสลับกันไปมา
           พ.ศ.2018 พระเจ้ารามาธิบดี (พระเจ้าธรรมเจดีย์) แห่งเมืองหงสาวดี รามัญประเทศ ทรงพิจารณาเห็นว่าพระพุทธศาสนาในรามัญประเทศไม่บริสุทธิ์ เพราะสีมาที่ใช้อุปสมบทภิกษุทั้งหลายนั้นผูกอย่างไม่ถูกต้อง ภิกษุผู้ชำนาญพระไตรปิฎกวินิจฉัยว่าเป็นสีมาวิบัติ จึงทรงดำริถึงพระสงฆ์ในลังกาทวีปซึ่งสืบมาแต่ภิกษุคณะมหาวิหาร อันเป็นคณะที่บริสุทธิ์ ปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัยและสืบมาแต่พระมหินทเถระ และทรงเห็นว่าควรส่งพระภิกษุผู้ฉลาดให้ไปนำอุปสมบทอันบริสุทธิ์ในลังกาทวีปมาประดิษฐานในรามัญประเทศ จึงทรงส่งพระภิกษุ 44 รูปให้ไปรับอุปสมบทจากภิกษุคณะมหาวิหารในประเทศลังกา ขณะนั้นพระเจ้าภูวเนกพาหุ แห่งชัยวัฒนบุรี (อยู่ในเขตเมืองโคลัมโบ ในปัจจุบัน) ทรงต้อนรับคณะภิกษุรามัญ และรับสั่งให้คัดภิกษุคณะมหาวิหาร 24 รูป ให้อุปสมบทแก่คณะภิกษุรามัญ ในอุทกุกเขปสีมา คือ บนเรือขนานผูกอยู่กลางแม่น้ำกัลยาณี โดยคณะภิกษุรามัญทั้งหมดต้องสึกก่อน แล้วจึงอุปสมบทใหม่เพื่อให้บริสุทธิ์แท้ เมื่อคณะภิกษุรามัญได้รับอุปสมบทใหม่แล้วก็เดินทางกลับเมืองหงสาวดี
          พระเจ้ารามาธิบดี (พระเจ้าธรรมเจดีย์) โปรดให้ถางป่าด้านทิศตะวันตกของพระมหาเจดีย์ชเวมอว์ดอว์ (พระธาตุมุเตา) เพื่อสร้างอุโบสถกำหนดเป็นที่ผูกสีมาใหม่ และโปรดให้คัดภิกษุรามัญผู้ไปรับอุปสมบทใหม่ในอุทกุกเขปสีมา กลางแม่น้ำกัลยาณี โดยคัดมาเฉพาะผู้ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยโทษอันเป็นที่ครหาจริงๆ เป็นผู้ทำพิธีผูกสีมานั้น และพระราชทานนามอุโบสถนี้ว่า กัลยาณีสีมา” (Kalyani Sima) ครั้นสมมติสีมาในปี พ.ศ.2019 แล้ว ก็ทรงให้สืบหาพระภิกษุผู้รับอุปสมบทในคณะสงฆ์คณะมหาวิหารแห่งลังกา ที่มีอายุพรรษามากพอจะเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ (คณะสงฆ์ที่เพิ่งบวชใหม่มาจากลังกามีพรรษาน้อยจึงเป็นพระอุปัชฌาย์ไม่ได้) ก็ได้พระเถระองค์หนึ่งมีพรรษา 26 พรรษา ชื่อว่า สุวัณณโสภณ เป็นผู้ตั้งมั่นในธุดงควัตร อยู่ในป่าโดยปกติ จึงทรงตั้งให้เป็น พระกัลยาณีดิสสเถระ เพื่อเป็นพระอุปัชฌาย์ให้การอุปสมบทใหม่แก่ภิกษุรามัญทั้งหลาย และทรงขอให้ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติเหมือนอย่างภิกษุคณะมหาวิหารเพื่อให้เป็นนิกายเดียวกัน นับแต่ปี พ.ศ.2019 ถึง 2022 มีภิกษุรามัญบวชแปลงกันถึง 15,666 รูป จึงเกิดเป็น คณะสงฆ์รามัญนิกายสีมากัลยาณี ขึ้นด้วยเหตุนี้ 
        เมื่อภิกษุพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับอุปสมบท ในคณะสงฆ์รามัญนิกายสีมากัลยาณี และเสด็จมาประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงแก้ไขข้อวัตรปฏิบัติของภิกษุสงฆ์ไทย เป็นเหตุให้มีภิกษุอื่นเกิดความเลื่อมใสพากันมาถวายตัวเป็นศิษย์ เพื่อเล่าเรียนพระปริยัติธรรมและประพฤติปฏิบัติตามแนวพระราชดำริราว 5-6 รูป อาทิ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) เป็นต้น โดยทรงแนะนำให้ภิกษุเหล่านี้รับอุปสมบทในคณะสงฆ์รามัญเช่นเดียวกับพระองค์ด้วย ต่อมาทรงเห็นว่าการที่จะทรงปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แต่มีความแตกต่างกันในบางประการกับระเบียบแบบแผนของวัดมหาธาตุอันเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) นั้น ดูจะเป็นการไม่เหมาะสม จึงเสด็จไปประทับอยู่ที่วัดสมอราย อันเป็นวัดป่าอยู่นอกกำแพงพระนคร (ปัจจุบันคือวัดราชาธิวาส) เมื่อ พ.ศ.2372 โดยสานุศิษย์บางส่วนก็ได้ตามไปอยู่ด้วย บางส่วนยังคงอยู่ที่วัดมหาธาตุ บางส่วนอยู่ที่วัดอื่นแต่ไปประชุมรวมกันที่วัดสมอรายก็มี จึงเกิดเป็น คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ขึ้นตั้งแต่นั้นมา
          เมื่อเสด็จมาประทับที่วัดสมอราย วันหนึ่งทรงให้ขุดลูกนิมิตอุโบสถวัดสมอรายขึ้นมาตรวจ ก็ทรงพบว่าเป็นสีมาวิบัติเพราะว่าลูกนิมิตเล็กไม่ได้ขนาด จึงทรงให้แสวงหาคณะสงฆ์รามัญนิกายสีมากัลยาณีมา 18 รูป แล้วทรงทำทัฬหีกรรม คือ อุปสมบทซ้ำอีกในอุทกุกเขปสีมา คือ แพกลางน้ำเจ้าพระยาหน้าวัดสมอรายนั้น เมื่อ พ.ศ.2373 เพื่อให้ได้ศาสนวงศ์ที่บริสุทธิ์ถูกต้องจริงๆ พร้อมกันนี้บรรดาศิษยานุศิษย์ของพระองค์ก็ได้ทำทัฬหีกรรมพร้อมกับพระองค์ด้วยเช่นกัน เมื่อทรงตั้งสำนักอยู่ที่วัดสมอราย ก็มีภิกษุสามเณรมาถวายตัวเป็นศิษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายคฤหัสถ์ก็พากันเลื่อมใส พากันไปฟังเทศน์ฟังธรรมมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงตั้งภิกษุพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระราชาคณะ
          พ.ศ.2379 เมื่อวัดใหม่ในกำแพงพระนคร ซึ่ง สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้น ว่างเจ้าอาวาส พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงอาราธนาภิกษุพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาครองวัด เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2379 โดยพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดบวรนิเวศวิหาร และให้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเสมอพระราชาคณะเจ้าคณะรอง เมื่อแห่เสด็จจากวัดสมอรายตามประเพณีพระราชาคณะไปครองวัด พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้จัดขบวนเรือแห่อย่างแห่เสด็จพระมหาอุปราช
           เมื่อเสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ทรงพาบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ยังเหลืออยู่ที่วัดมหาธาตุ มาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารทั้งหมด ส่วนสำนักวัดสมอรายนั้นโปรดให้สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) แต่ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระอริยมุนี เป็นหัวหน้า จึงนับว่าเป็น ครั้งแรกที่พระสงฆ์ธรรมยุตมีสำนักเป็นเอกเทศ และกล่าวได้ว่าวัดบวรนิเวศวิหารเป็นวัดธรรมยุตแห่งแรก เพราะเมื่อครั้งที่ประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุและวัดสมอรายนั้น ทรงอยู่ในฐานะพระลูกวัด มิได้เป็นเจ้าอาวาส บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายเพียงแต่มาปฏิบัติรวมกันที่วัดสมอรายเท่านั้น คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย จึงถือว่าวันที่คณะธรรมยุตตั้งขึ้น คือ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2379 นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น